รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเผชิญภัยธรรมชาติและภัยทางการเมือง ตามมาด้วยโรคอุบัติภัยใหม่
ภัยแรกส่งสัญญาณมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเริ่มเห็นภาพชัดเจนถึงวันนี้ กรณีของภาวะภัยแล้ง ต่อมา ภัยฝุ่นพิษเริ่มแผลงฤทธิ์ สอดแทรกด้วยภัยการเมืองกระหน่ำซ้ำ เมื่อเกิดเหตุส.ส.เสียบบัตรแทนกันในการลงมติร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563
โดยเฉพาะกรณีเสียบบัตรแทนกัน เป็นภัยร้ายแรงสั่นสะเทือนระดับ 6.8 ริกเตอร์ อาจต้องมีความเสียหายทั้งอาคารรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล
ส่งผลให้ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งล่าสุด ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล เข้าชื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว
หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล สถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นฉันท์ใด …”คิดแล้วเสียววุ้ย!!!”
มิพักกล่าวถึง สองส.ส.พรรคภูมิใจไทยกระทำการเสียบบัตรแทนกัน พรรคภูมิใจไทยจะพิจารณาลงโทษอย่างไร
กระนั้นศรีสุวรรณ จรรยา นักร้องแห่งปี ยื่นเรื่องต่อป.ป.ช. ให้พิจารณาสอบสวนแล้ว
อย่าลืมว่า พฤติกรรมเสียบบัตรแทนกันเป็นความผิดทางอาญา โดยป.ป.ช.เคยสรุปสำนวนยื่นฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้น สองส.ส.ภูมิใจไทยต้องเผชิญชะตากรรมเหมือนอดีตส.ส.ยุคยิ่งลักษณ์ที่เคยถูกดำเนินคดีหรือไม่
นี่จึงเป็นภัยร้ายแรงทางการเมืองสร้างตราประทับสีเทา”รัฐบาลลุงตู่”
เล่าซะยาว เดี๋ยวพลาดภัยสำคัญ นั่นคือ ภัยจากโรคอุบัติใหม่ สร้างความหวาดหวั่นทั่วโลก จากกรณีการแพร่ระบาดของโรคปอดสายพันธุ์ใหม่ หรือ “ไวรัสโคโรนา” เท่าที่มอนิเตอร์สถานการณ์แพร่ระบาดในจีน มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สถานการณ์ ณ วันที่ 27 ม.ค. 63 ยอดเสียชีวิตพุ่ง 80 ราย ประเด็นสำคัญ มีการแพร่ระบาดไปยังประเทศในทวีปเอเชีย อาเซียน ยุโรป สหรัฐ และออสเตรเลีย
เฉพาะ “ประเทศไทย “กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานเมื่อวันที่ 26 ม.ค.63 ณ เวลา 18.00 น. มีผู้ป่วยติดเชื้อ 8 ราย ในจำนวนนั้นนอกจากชาวจีน 7 ราย เป็นคนไทย 1 รายเดินทางกลับจากจีน แต่ทั้งหมดได้รับการรักษาอาการดีขึ้น ไม่มีอาการรุนแรงวิกฤติ กลับบ้านแล้ว 5 ราย นอนรพ. 3 ราย
อย่างไรก็ตามมีรายงานเข้ามาอีก พบผู้ป่วยที่จังหวัดเชียงใหม่ กระบี่ หัวหิน เพชรบูรณ์ ต้องติดตามดูอาการก่อนจึงจะมีการแถลงอย่างเป็นทางการ เป็นผู้ป่วยจาก”ไวรัสโคโรนา”หรือไม่
ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่รัฐมนตรีไปจนถึงอธิบดี ยืนยัน ”เอาอยู่” ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าตื่นตระหนก
ทว่า สถานการณ์ของการเสพข่าวบนโลกโซเชียลออกอาการเตลิดเปิดเปิงไปแล้ว เห็นได้จากการแสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่ออกไปทางโจมตีรัฐบาลว่า"ไม่เห็นทำอะไรเลย"
การอาศัยสถานการณ์ความเป็นความตายประชาชน สร้างข่าวเท็จหาทางหยิบโยงให้เป็นเรื่องการเมือง จึงเป็นอีกภัยกระทบต่อความมั่นคงทีเดียว
…สถิตย์ ธรรม… ไม่ได้ปกป้องรัฐบาลแต่อยากเล่าในฐานะติดตามการทำงานรัฐบาลชุดนี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะคำถามในลักษณะเจือปนความโกรธเกลียดทางการเมืองเข้ามาด้วยจนแทบหาสาระข้อเท็จจริงไม่ได้ หรือเรียกว่า ด่าอย่างไร้เหตุผล
ครั้นสื่อนำเสนอ มาตรการสกัดการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา ตามแบบฉบับของ “สีจิ้นผิง” ผู้นำจีนที่ออกมาตรการเข้มงวดตั้งแต่ห้ามชาวจีนเที่ยวทั่วโลก ส่งกองกำลังทหารควบคุมพื้นที่อู่ฮั่น ประกาศบังคับใช้กฎหมายขั้นสูงสุด
เข้าทางคนติดโรคคลั่งการเมือง มองอะไรเป็นการเมืองไปหมด ได้ทีนำมาเทียบเคียง “ลุงตู่”ว่าคิดได้แบบผู้นำจีนบ้างมั้ย ทั้งๆที่บริบทแตกต่างอย่างสิ้นเชิง สถานการณ์ก็แตกต่าง ระดับความรุนแรงก็ต่างกัน
อีกอย่างโดยข้อเท็จจริง รัฐบาลดำเนินมาตรการติดตามเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง มีการจัดสถานที่การควบคุมผู้ติดเชื้อ เมื่อวานนี้ รัฐมนตรีสามกระทรวง ทั้งสาธารณสุข คมนาคม และ การท่องเที่ยวและกีฬา ได้มีการประชุมมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบชัดเจน
มาถึงบรรทัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง -ฝุ่นพิษ - การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา รัฐบาลออกมาตรการระยะเร่งด่วนไปถึงระยะยาว อย่างกรณีปัญหาฝุ่นพิษ จัดทำรายงานเป็นวาระแห่งชาติเล่มหนา ซี่งมีผู้เข้าไปติดตามให้ความสนใจสักกี่มากน้อยตรงนี้ก็ไม่ทราบ
เช่นเดียวกับ ความพยายามของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานถึง วิธีป้องกัน รักษาสุขภาพ ก็อยากให้ทุกคนหันมาสนใจใส่ใจสุขภาพของเราก่อนเบื้องต้นน่าเสียดาย นักเลงคีย์บอร์ดประเภท ปิดหูปิดตาด่าอย่างไร้เหตุผล ได้ติดตามการดำเนินการของรัฐบาลหรือไม่ ทำนองเดียวกันสร้างข่าวปลอมมากลบข่าวจริงซะงั้น ทำไปเพื่อ....
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคงต้องประชาสัมพันธ์ในระดับเข้มข้น ต่อสู้ภัยภัยข่าวปลอม ต่อสู้กับผู้อาศัยสถานการณ์ต่างๆ สร้างความเข้าใจผิดสับสนทำลายความน่าเชื่อถือรัฐบาลและประเทศชาติด้วย
อย่างว่าหล่ะครับ สไตล์ท่านผู้นำปัจจุบัน ไม่ค่อยถนัดบทแอ๊คชั่นผ่านหน้าจอ อีกอย่างเป็นคนพูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ส่วนรมต.บางรายเหมือนรมต.น้องใหม่ถอดด้าม ท่ามกลางสถานการณ์ภัยธรรมชาติ ก็เหมือนจะเป็นบุคคลสูญหายไปจากครม. เลยทีเดียว
งานนี้จึงต้องปรับแก้ไขกันหน่อยไม่ปล่อยให้เป็นจุดบอดให้ผู้คนที่ชิงชังรัฐบาลอยู่ก่อนแล้ว ระบายความรู้สึก “รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรเลย”
ด้าน"ลุงตู่" คงต้องแอ๊คชั่นมากกว่านี้กระมัง เหมือนอดีตผู้นำยุคหนึ่ง ที่แสดงบทกินไก่โชว์ ในช่วงโรคหวัดนกระบาดให้เห็นถึงความมั่นใจความปลอดภัย เผื่อสายแช่งอาจกลับมาถูกใจสิ่งนั้นก็ได้มั๊ง เรื่องบริหารความรู้สึกมนุษย์เอาใจยากจริงๆครับ
รัฐบาลสู้กับภัยธรรมชาติ ไวรัสโคโรนาที่ว่าหนักหน่วงแล้ว ยังต้องสู้กับ ภัยของผู้ไม่หวังดีสร้างความแตกแยก ยากหาวัคซีนรักษาให้มีความเข้าใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนัก