”อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” คือคำขวัญเข้าใจง่ายที่จะช่วยหยุดยั้งการแพร่ระบาด ไวรัสโควิด-19ได้ดีที่สุด การจะช่วยบุคลากรทางการแพทย์ผ่อนหนักให้เป็นเบาคือการให้ความร่วมมือตามคำขวัญข้างต้น
… ท่ามกลางสถานการณ์ที่เราต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจ ณ ขณะนี้ มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเปรียบได้กับกองทัพเสื้อกาวน์กำลังต่อสู้ มหันตภัยร้ายที่มองไม่เห็น ต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตเพื่อนร่วมชาติให้อยู่รอดปลอดภัย นอกจากกำลังใจส่งถึงคุณหมอ บรรดาอุปกรณ์ หน้ากากอนามัย ชุดป้องกัน เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ เปรียบได้กับ อาวุธ ต้องติดตัวไปสู้รบ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทางภาครัฐต้องให้ความสำคัญ เมื่อทุกอย่างพร้อม เราจะต้องได้รับข่าวดีกลับมา “ ข่าวดีที่จะไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตายไม่มากกว่านี้ “
…นี่คือสงครามโรค เกิดขึ้นทั่วทุกทวีปและกำลังคร่าชีวิตมนุษยชาติไปแล้วจำนวนนับร้อยนับพัน ดังที่เห็นรายงานจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮ็อปกินส์ รายงานไว้ ณ วันที่ 27 มี.ค. 63 พบว่า สหรัฐแซงจีนขึ้นมาเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก ด้วยจำนวนมากกว่า 83,500 คน ส่วนจีนมีผู้ติดเชื้อ 81,782 คน ในส่วนผู้เสียชีวิต อิตาลี ยังคงมากที่สุดที่จำนวนมากกว่า 8,100 คน ขณะที่สเปนตามมาที่สอง ด้วยตัวเลขผู้เสียชีวิตมากกว่า 4,100 คน ส่วนกลุ่มประเทศอาเซียนมาเลเซีย มีการแพร่ระบาดมาเป็นอันดับหนึ่งตามมาด้วยไทยแต่ยอดการเสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นอยู่ที่อินโดนีเซีย
…ก่อนหน้านั้น มีการถามกันมาก เมื่อไหร่รัฐบาลจะยกระดับสถานการณ์การแพร่ระบาดขึ้นสู่ระดับ 3 ครั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ตัดสินใจประกาศ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน การถามถึงระดับ 3 ก็เงียบหาย โดยข้อเท็จจริงการการยกระดับของการแพร่ระบาด ไม่มีประเทศใดกำหนดเป็นมาตรฐาน แต่เป็นเรื่องของแต่ละประเทศกำหนดขึ้นเอง บางประเทศไม่มีการจัดระดับหรือยกระดับด้วยซ้ำ
สำหรับประเทศไทย ตามที่เห็นและเป็นอยู่ เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดกระจายออกสู่วงกว้าง ไปถึงต่างจังหวัด ดังที่ทราบจากกระทรวงสาธารณสุข แถลงสถานการณ์แบบรายวัน พบจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตขยับเช่นเดียวกัน
ข้อมูล ณ วันที่ 28 มี.ค.63 พบผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มใหม่ 109 ราย รวมผู้ป่วยจำนวน 1,245 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 คน โดยมีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน รวมผู้ป่วยเสียชีวิตในประเทศไทย 6 คน หายกลับบ้านแล้ว 100 ราย อยู่ในโรงพยาบาล 1,139 ราย มีอาการหนัก 17 ราย
นั่นหมายความว่า สถานการณ์แพร่ระบาดเป็นไปอย่างรวดเร็วและอาจควบคุมไม่ได้ ดังนั้น เครื่องไม้เครื่องมือต้องนำมาคลี่คลายวิกฤติครั้งนี้ ด้วยมาตรการหรือการใช้กฎหมายปกติเอาไม่อยู่ จึงต้องใช้กฎหมายพิเศษ หรือพรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน
…ไม่ต้องเรียกร้อง ปิดประเทศ แต่ด้วยการใช้ยาแรงตามข้อกำหนดของพรก.ฉุกเฉิน ทั้งการประกาศปิดด่านพรหมแดนจนกว่าสถานการณ์คลี่คลาย คำสั่งให้ปิดสถานที่เสี่ยง การขอความร่วมมืองดเดินทางข้ามจังหวัดถ้าไม่จำเป็น รวมถึงการขอให้ ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคประจำตัว เด็กอายุ 5 ขวบลงมา ต้องอยู่บ้านและอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่ประกาศบังคับใช้ไปแล้ว ทำให้ขณะนี้เหมือนปิดประเทศไปโดยปริยาย อีกทั้งบรรดาประเทศต่างๆทั้งประเทศเสี่ยงทางยุโรป-เอเชีย รวมถึงประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงต่างออกมาตรการเข้มข้นเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างปิดประเทศของตัวเอง เพื่อหาทางหยุดยั้งการแพร่ระบาด
…เดินทางมาถึงสุดสัปดาห์ จะเป็นอีกครั้งของการประเมินสถานการณ์ อย่างที่ ศจ.ดร.นพ.ประสิทธิ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวไว้ “ ถ้าเราไม่ทำอะไร คาดการณ์สิ่งที่เกิดขึ้น จะเหมือนกับประเทศที่คุมไม่อยู่ แต่ละวันจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 33 เปอร์เซ็นต์ หากคนไทยยังปฏิบัติแบบเดิม ยังออกจากบ้าน ยังใช้ชีวิตพูดคุย เจอกัน ทำงานแบบที่ทำในเวลานี้ 15 เม.ย. คาดว่าคนไทยเป็นโควิด 3 แสนกว่าคนและเสียชีวิตถึง 7 พันคน “
สอดคล้องกับ สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ประเมินไว้ว่ายอดผู้ป่วยไวรัส COVID-19 ปลายเดือนมีนาคม ทะลุหลักพันแน่นอน คาดว่าจะขึ้นเป็น 2,500 ราย ถ้าไม่ทำอะไรเลย เรากำลังวิ่งขาขึ้น และหากไม่มีการร่วมมือกันอย่างจริงจังต่อไป คาดว่าช่วงวันที่ 23-30 มีนาคม 2563 จะเห็นผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2,500 ราย และเพิ่มเป็นจำนวน 17,500 ราย ในวันที่ 6-13 เมษายนนี้
คราวนี้พิจารณาจากตารางข้างล่างซึ่ง ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุข ได้นำเสนอไว้เมื่อเช้าวันที่ 28 มี.ค.63
…อสนีบาต.. เชื่อว่าสังคมชาติไม่ต้องการเช่นนั้น ถามว่าแล้วจะทำอย่างไร คำตอบอยู่ในหัวใจทุกท่านดีครับ
… ปิดท้ายด้วยข้อคิด จาก ปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฏีกา ฝากถึงทุกท่าน เมื่อได้อ่านทุกบรรทัดสามารถตอบโจทก์ สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 แล้วเราจะอยู่อย่างไร จะต้องรอดอย่างไร เชิญทัศนาครับ
” โควิด เป็นครูที่กำลังสอนเรา
สอนเราให้รักษาความสะอาดร่างกาย ไม่สกปรกโสมม
สอนเราให้มีสติ มีเหตุผล ไม่ตื่นตระหนก
สอนเราให้ห่างไกลจากสถานที่อโคโจร
สอนเราให้รู้จักคิดถึงส่วนรวม ไม่เอาความสุขส่วนตัวเป็นที่ตั้ง
สอนเราให้ดำรงชีวิตอย่างพอเพียง มีเหตุผล พอประมาณ และมีภูมิคุ้มกัน
สอนเราให้รู้จักปรับเปลี่ยนตัวเองให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลง
สอนเราให้รู้ลึกซึ้งถึงจิตใจคน ว่าใครเป็นอย่างไรผ่านโซเชียล
สอนเราอีกมากมายหลายเรื่องที่ไม่อาจจาระไนได้หมด
แล้วแต่ว่าใครจะมีสติ มีปัญญา เรียนรู้และเข้าใจมัน
….ขอบคุณนะ โควิด…