อุตส่าห์แอบเชียร์ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่(อนค.) ภายหลังตกงานจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ว่าคงไปได้ไกลในวิชาชีพใหม่ เป็น”หัวหน้าศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์”
เนื่องจาก ธนาธร พูดไว้อย่างหล่อเชียว จะยืนเคียงข้างประชาชน ต่อต้านความอยุติธรรม โดยจะหาพื้นที่ใหม่ทางการเมือง
มนุษย์เดินดินกินข้าวแกงอย่าง…อสนีบาต… พยายามมองโลกสวยคล้อยตาม “พ่อฟ้า” คงจะไปเปิดศูนย์บริการประชาชนคอยรับเรื่องราวร้องทุกข์ทั่วราชอาณาจักร สถาปนาตนเองขึ้นเป็นผู้นำนอกสภา คอยรับฟังปัญหาความเดือดร้อนพี่น้องประชาชน เพื่อเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำตัวจริงบนหอคอยงาช้างรับไปแก้ปัญหา
กล่าวไว้คราวก่อน แข่งขันทำความดี ไม่มีใครว่าทำไปเหอะ ไม่ว่ารับบทเป็นตัวแทนผู้ประสบปัญหาทุกข์ร้อนรับเรื่องมาเยียวยาแก้ไข ก็ทำไป จะเป็นคู่แข่งศูนย์บริการประชาชานของทำเนียบฯก็ทำไป
ล้วนเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น อีกอย่างทำให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาความเดือดร้อนประชาชน ตื่นตัวทำงานด้วยความแข็งขัน
ทว่า ความคาดหวังดังกล่าวต้องดับวูบ เพราะในที่สุดแล้ว “พ่อฟ้า” เลือกทางเดินด้วยการไปเป็น “พนักงานแจกแผ่นพับ “สืบสานอุดมการณ์พรรคอนาคตใหม่ตั้งแต่หาเสียงเลือกตั้ง ให้”ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร” พร้อมกับเป็น คอมเมนเตเตอร์ คอยโจมตีกองทัพ
ห้ามใจกันไม่ได้ เมื่อตนเองวางอนาคตไว้แบบนี้ อีกอย่าง "ราศีจับ" นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสภาพการเป็นส.ส. เหมือนวางแผนไว้ล่วงหน้า ด้วยการสร้างกระแสเรียกร้องความเห็นใจให้สังคมมองว่า”ตนเองถูกกระทำ”จากฝ่ายผู้มีอำนาจ จึงต้องเปิดปฏิบัติการต่อเนื่อง รีบเดินทางไปใจกลางเมืองหลวง ปักหมุดบริเวณห้างสรรพสินค้าที่มีวัยรุ่นหนุ่มสาวเดินขวักไขว่ประเดิมแจกแผ่นพับรณรงค์ยกเลิกเกณฑ์ทหารทันที แต่สังคมก็รู้เท่าทัน เพียงเพื่อเช็คเรทติ้งความนิยมตนเองยังพอมีเหลืออยู่มั้ย
นั่นเป็นการแจกแผ่นพับครั้งแรก เป็นการกระทำก่อนที่เจ้าตัวจะเขียนจดหมายลาออกจากกรรมาธิการวิสามัญงบประมาณ และอนุกรรมาธิการพิจารณาด้านท้องถิ่นชายแดนใต้ ด้วยการยกเหตุผล มีคนไม่ต้องการให้อยู่ในสภาจึงจะไปทำงานเคียงข้างกับประชาชนนอกสภา
หลังจากนั้น ขบวนการสุมหัวสุมไฟเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยมี ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาพรรค ตามด้วย ส.ศิวรักษ์ นักคิดนักเขียนผู้ให้การสนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ที่ร้านอาหารย่านคอนแวนซ์ ให้คำชี้แนะการต่อสู้รัฐบาลทหาร ต้องใจเย็น อย่าวู่วาม
พร้อมกับยกประโยคในยุคสมัย อจ.ป๋วย อึ้งภากรณ์ เตือน “ธนาธร “ต้องใช้ขันติประชาธรรม สัจจะต่อสู้กับอสัตย์ “ กล่าวคือรักษาสัจจะเป็นที่ตั้ง สยบกลุ่มอำนาจที่ไม่ซื่อสัตย์ จะด้วยการปฏิบัติหน้าที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือ ตระบัดสัตย์กลับมาสืบทอดอำนาจ ก็แล้วแต่จะเอ่ยอ้างกันไป
ส.ศิวรักษ์ กระซิบ หัวหน้าพรรคคนรุ่นใหม่ด้วยว่า ความต้องการให้เปลี่ยนแปลงนั้นไม่ง่าย ไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ต้องใช้เวลานาน
จึงเป็นอะไรที่”ธนาธร” กลับมาเดินเกมนอกสภาในลักษณะสะสมไพร่พลผ่านการเดินแจกแผ่นพับ รณรงค์เลิกเกณฑ์ทหาร นั่นหล่ะท่าน
นับตั้งแต่ ”ธนาธร” ต้องมาเป็นผู้นำอนาคตหมด สิ่งที่เห็นเด่นชัด คือ การแจกแผ่นพับอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จากจุดใจกลางเมืองขยับขยายไปยังปริมณฑลหรือพื้นที่สีแดง เช่น พระนครศรีอยุธยา ตามด้วยวันเสาร์ที่ผ่านมาลัดเลาะชายหาดบางแสน จ.ชลบุรี สถานที่ตากอากาศของประชาชนทุกเพศทุกวัย แทนที่จะนั่งทอดกายจับกลุ่มรับประทานอาหารทะเลอย่างเอร็ดอร่อยต้องมาเจอ พนักงานหน้าตี๋ไล่แจกแผ่นพับ ช่างขัดกับบรรยากาศพักผ่อนวันหยุดยิ่งนัก
วิธีแจกแบบกระจาย แจกอย่างทั่วถึงโดยไม่ใช่แค่เป้าหมายกลุ่มชายไทยที่ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร แต่ทั้งแจกทั้งแจงคนทุกเพศทุกวัย หญิงสาวแก่ชรา ซึ่งไม่ได้เข้าหลักเกณฑ์ทหาร แต่อาจนำไปสื่อสารถึงคนในครอบครัวที่ต้องเกณฑ์ทหารก็เป็นไปได้
หัวหน้าหน่วยผลิตแผ่นพับยังทำการขยายเครือข่าย ด้วยการสั่งให้สมาชิกเข้าถึงสถาบันการศึกษา ตรงนี้ไม่ว่าเลย หากการรณรงค์พุ่งเป้าเวทีความคิดตามมหาวิทยาลัย แต่นี่ กลับเข้าถึงระดับนักเรียนในโรงเรียน เป็นอะไรที่แสดงถึงวีถีการเมืองสกปรก เป็นการเล่นการเมืองล้ำเส้นเกินไปเสียแล้ว
ไม่แปลกใจเลยที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกลัทธิชังชาติบ้าง จาบจ้วงดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูงบ้าง เพราะแม้แต่สถานศึกษาระดับโรงเรียน ซึ่งไม่ควรนำเรื่องการเมืองเข้าไปแทรกซึม ยังหาญกล้าเข้าไปทำกันได้
แม้”ธนาธร” เลือกเป็นพนักงานแจกแผ่นพับ แต่อาชีพใดๆมีกฎกติกาบ้านเมืองกำหนด การกระทำใดๆที่ล้ำเส้นเกินงาม ก็ยิ่งสร้างความเอือมระอาใจ
นอกจากฝ่ายความมั่นคงจะออกมาอรรถาธิบายหักล้างการเลิกเกณฑ์ทหาร ในส่วนของ รมว.ศึกษาธิการออกมาตักเตือนถึงวิธีการแทรกซึมเข้าโรงเรียน
อีกอย่าง ความพยายามเจาะฐานโรงเรียนทำให้นึกถึงสมัยแกนนำเสื้อแดงที่ตั้งโรงเรียน นปช. แถวภาคอีสาน จากนั้นก็ตกเป็นเครื่องมือนำมาเคลื่อนไหว ฉันใดก็ฉันนั้นสิ่งที่ทำอยู่ขณะนี้ คือความพยายามปลุกระดมผ่านคนรุ่นหนุ่มสาว แล้วกำลังจะลงไปถึงเด็กมัธยมปลาย
“การจุดกระแสเลิกเกณฑ์ทหารเป็นเพียงแค่เป้าหลอก แต่เป้าประสงค์จริง คือ ความพยายามสร้างมวลชน เหมือนกับอีกด้านหนึ่งที่กำลังโหมประโคมจัดกิจกรรม “วิ่ง ไล่ ลุง” เป็นการสร้างกระแสยั่วยุฝ่ายความมั่นคง กองทัพ ให้ออกมาเผชิญหน้า ”
เคยกล่าวแล้วไง ทำดีทำไปเหอะ แต่ทำป่วนมีแต่พังพังพัง
บทสรุปซีรีย์นี้ ไม่ได้ทำให้ พนักงานแจกแผ่นพับก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯตามที่เคยประกาศไว้อย่างแน่นอน ริจะใช้แนวทาง”ฮ่องกงโมเดล” ครอบเมือง ก็ควรกลับไปนึกถึงข้อคิดของ ส.ศิวรักษ์ที่เคยบอกไว้ด้วยแล้วกัน
“ เรื่องนี้มันไม่ง่าย ต้องใช้เวลานาน”